แสงแดดกับผิวพรรณ
 
 
เมื่อก่อนนี้ เราเชื่อกันว่าแสงแดดทำให้ผิวของคนเรามีสุขภาพดีขึ้น ผิวที่คล้ำและเกรียมแดดนั้น เป็นสัญลักษณ์ ของความมีสุขภาพแข็งแรงและร่ำรวย ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะชนที่อยู่ในประเทศ เขตหนาวที่ไม่ค่อยได้มี โอกาสสัมผัสกับแสงแดดนิยมการอาบแดดกันเป็นชีวิตจิตใจ
ในปัจจุบัน เราพบว่า การที่ผิวหนังของคนเราได้รับแสงแดดมากเกินไปนั้น จะทำให้เกิดผลเสียต่อผิวหนังตาม มามากมายเนื่องจาก ในแสงแดดมีรังสีอุลตร้าไวโอเลตช่วงคลื่นสั้น หรือที่บางคนเรียกว่า UVB เป็นตัวการทำลาย เซลล์ และสาร DNA ของเซลล์ต่างๆ โดยเฉพาะเซลล์ ทำให้การทำงานของเซลล์เสียไป เกิดความผิดปกติต่างๆ เช่น มะเร็งผิวหนัง ผิวแก่ก่อนวัย ผิวไหม้เกรียม และการเกิดฝ้า เป็นต้น และในแสงแดดยังประกอบด้วย รังสีอุลตร้าไวโอเลตช่วงคลื่นยาว ซึ่งทำให้ผิวแพ้แดด หน้าแดง นอกจากนี้ รังสีความร้อนก็ทำให้เกิดอันตราย ต่อผิวหนังและร่างกายด้วย
ในปัจจุบันพบว่า อันตรายของแสงแดดต่อผิวหนังของคนเรานั้น นับวันก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นยิ่ง เนื่องจากในสมัยก่อนหน้านี้ กว่ารังสีอุลตร้าไวโอเลตจะลงมาสู่ผิวโลก ก็ต้องผ่านการกรองจากชั้นโอโซนในบรรยา กาศเสียก่อน โอโซน เป็นสารที่ช่วยจับรังสีบางส่วนเอาไว เป็นเหตุให้ปริมาณรังสีที่ลงมาสู่ผิวโลกไม่มากเท่าใน ปัจจุบัน ซึ่งมีเหตุทำให้ชั้นโอโซนลดน้อยลงอย่างน่าวิตก จนกระทั่งในบางแห่ง นักวิทยาศาสตร์ตรวจพบว่าชั้น โอโซนหายไปหมดจนเกิดรูรั่วหรือรอยโหว่ของชั้นโอโซน ซึ่งรังสีอุลตร้าไวโอเลตผ่านตรงจุดนั้นลงมาได้เต็มที่
นักวิทยาศาสตร์กำลังวิตกกันมากในเรื่องนี้ เพราะโอโซนที่ห่อหุ้มผิวโลกในบริเวณต่างๆลดลงอย่างน่ากลัวทั้งน ี้เป็นผลจากการกระทำของมนุษย์เรานี่เอง กล่าวคือ จากความเจริญรุดหน้าด้านอุตสาหกรรม ทำให้มีการใช้สารเคมี บางชนิดที่ปล่อยสารชื่อ CFC (CHLORO-CARBON) ล่องลอยขึ้นไปในชั้นบรรยากาศเข้าไปจับตัวและทำลาย โอโซนให้เหลือลดน้อยลงทุกวันเวลาที่ผ่านไป
สาร CFC ที่ทำลายโอโซนและมีผลทำให้โลกได้รับสีอุลตร้าไวโอเลตมากขึ้นนี้ พบในสารจำพวกสเปรย์ น้ำยาที่ลดความเย็นในตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ และการเผาทำลายโฟม
นอกจากปริมาณรังสีอุลตร้าไวโอเลตที่เพิ่มมากขึ้นอย่างน่าวิตกแล้ว ความร้อนจาก ดวงอาทิตย์ก็ทวีมากขึ้นเช่น กัน เราจะสังเกตได้ง่ายๆจากความร้อนอบอ้าวของบรรยากาศและความแห้งแล้งของพื้นดินที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี สาเหตุของปัญหานี้ก็คือการตัดไม้ทำลายป่า ทำให้พื้นดินไม่ สามารถเก็บน้ำไว้ได้ และภาวะเรือนกระจก หรือ GREENHOUSE EFFECT ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดจากมลภาวะในอากาศ เช่น ฝุ่นละออง ควัน ก๊าซคาร์บอนได ออกไซด์ที่เพิ่มปริมาณมากขึ้นจนปกคลุมผิวโลก และทำให้ความรังสีความร้อนสะท้อนกลับสู่ผิวโลกอีก
ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อผิวพรรณ นับวันก็จะยิ่งเลวร้ายมากขึ้นที่นับว่าเป็นอันตรายได้แก่ผลของรังสี อุลตร้าไวโอเลตที่ทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง มีปริมาณมากขึ้นเรื่อย ๆ การเกิดมะเร็ง-ผิวหนังนั้น นักวิทยาศาสตร ์เชื่อว่าเกิดจากสาร DNA ในเชลล์ผิวหนังซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการแบ่งตัวของเซลล์ ถูกรบกวนและทำลายจากรังสี จนทำให้ทำงานผิดปกติ และกระตุ้นให้เซลล์แบ่งตัวสร้างเซลล์ผิด- ปกติหรือเซลล์มะเร็งขึ้นมา
การไหม้เกรียมของผิวหนัง หรือ SUNBURN นั้น เกิดจากการที่ผิวตากแดดนานเกินกว่าที่จะรับได้ ปกติผิว หนังคนเราจะมีเม็ดสีหรือเมลานิน ซึ่งจะช่วยกรองรังสี และป้องกันผิวอยู่ได้ชั่วคราว แต่ถ้าตากแดดนานๆ เม็ดสีก็กัน รังสีไม่อยู่ และปล่อยให้รังสีผ่านลงไปทำอันตรายต่อเนื้อเยื่อและเส้นเลือด ทำให้แดงไหม้เกรียม อักแสบพุพอง
การเกิดฝ้าและผิวหนังหมองคล้ำหลังตากแดดก็เช่นกัน รังสีในแสงแดดจะเป็นตัวกระตุ้นการทำงานของเซลล์ สร้างสี ทำให้สร้างออกมามากกว่าปกติ เกิดเป็นรอยดำของฝ้าขึ้นมาได้
ผิวแก่ก่อนวัยก็เป็นภาวะที่เกิดได้เร็วขึ้น เมื่อผิวได้รับรังสีจากแสงแดดเป็นเวลานานและหลายครั้งติดต่อกัน ซึ่ง จะพบลักษณะของผิวแก่ก่อนวัยเช่นนี้ในคนที่ต้องทำงานตรากตรำอยู่กับแสงแดด เช่น ชาวนา ชาวไร่ นักกีฬากลาง แจ้งและผู้ที่ชอบอาบแดดทั้งหลาย ผิวแก่ก่อนวัย เกิดเพราะเนื้อเยื่อบางชนิดที่เป็นโครงสร้างให้ความแข็งแรง คือ คอลลาเจน ถูกทำลาย และเนื้อเยื่อที่ให้ความเหนียวและความยืดหยุ่นของผิวคือ อีลาสติก ถูกทำลายทำให้ผิวเหี่ยวย่น มีร่องรอยต่างๆ ชัดเจน
ในปัจจุบันวันนี้ เป็นเวลาที่เราทุกคนควรเริ่มตระหนักถึงภยันตราย ที่เกิดขึ้นกับผิวอย่างช้าๆ แต่สม่ำเสมอ และ ทวีมากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต ยังไม่สายเกินไปที่จะเริ่มต้นปกป้องผิวจากแสงแดดเสียตั้งแต่บัดนี้ ก่อนที่จะไม่มีเซลล์ ดีๆของผิวหนังไว้ให้รักษาในวันข้างหน้า

 
สาว ๆ ที่รักผิวสวยฟังทางนี้ Minus Sun มีเรื่องราวดี ๆ เกี่ยวกับดูแลผิวมาฝากกัน
  เรื่องของแสงแดด
 
  วิธีเตรียมผิวรับมือกับแสงแดด
 
  ควรใช้ครีมกันแดดตั้งแต่เด็กหรือไม่?