1. CHEMICAL SUNSCREEN (SOLUBLE SUNSCREEN)
: ออกฤทธิ์โดยการดูดซับ (ABSORB AND FILTRATION) พลังงานรังสี
UV ไว้ไม่ให้ทะลุผ่านผิวหนังไปทำลายเนื้อเยื่อต่างๆ แล้วเปลี่ยนพลังงานของ
UV เป็น ความร้อนแล้วสลายไป ทาแล้วควรรอประมาณ 30 นาที ก่อนออกแดด)
ตัวอย่าง เช่น PABA (พาบ้า ) , SALICYLATES (ซาลิซาเลท) ,BENZOPHENONE
(เบนโซฟีนอล) ANTHRANILATE (แอนทานิเลท) , SULFONIC ACID (ซัลโฟนิค
แอซิด)
2 PHYSICAL SUNCREEN ( INSOLUBLE SUNCREEN,
SUNBLOCKER )
: ยากันแดดในกลุ่มนี้เป็นสารทึบแสง จะออกฤทธิ์โดยการสะท้อน
(REFLECT) รังสีที่ ตกกระทบผิวหนัง ประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับ
ขนาดของสารประกอบและความหนาของการทาครีมกันแดด
ตัวอย่าง เช่น TITANIUM DIOXIDE (ไททาเนียม ไดออกไซด์) , ZINC
OXIDE (ZnO) (ซิงค์ออกไซด์)SUN PROTECTION FACTOR (SPF) และ
SUN REFLECTION FACTOR (SRF)
SPF
คือ ประสิทธิภาพของครีมกันแดดในการป้องกันรังสี UVB
SRF
คือ ประสิทธิภาพของครีมกันแดดในการสะท้อนกลับของรังสี
การหาค่า
SPF =
MED
ของผิวที่ทาครีมกันแดด /MED ของผิวที่ไม่ได้ทาครีมกันแดด |
MED (Minimal Erythema Dose)
คือ ปริมาณของ UV ที่น้อยที่สุดที่ก่อให้เกิดรอยแดง
ในผิวปกติที่ไม่ได้ทาครีมกันแดด หากยืนตากแดดในตอนกลางวัน
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงผิวจะปวดแสบปวดร้อน
นั่นคือ ถ้าผลิตภัณฑ์ที่มี SPF15 หมายถึง ถ้าทาผลิตภัณฑ์นั้นลงบนผิวหนังของใครก็ตาม
ผิวคนนั้นจะทนพลังงานของรังสีแสงแดด ได้ 15 เท่าของผิวตัวเองที่ไม่ได้ทาครีมกันแดด
การจะตัดสินใจว่าผิวของบุคคลหนึ่งควรจะใช้ค่า SPF เท่าใดนั้น
ต้องมีการพิจารณาปัจจัยหลายอย่างเช่น สีผิว , ปริมาณของรังสีแสงแดดรวมทั้งสถานที่อยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรเท่าใด
โดยถ้าใกล้เส้นศูนย์สูตร / ฤดูร้อนในเวลาเที่ยงวันความเข้มของแสงแดดจะสูงสุด